ความแตกต่างระหว่างระบบตรวจจับการบุกรุก (IDS) และระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) คืออะไร (ตอนที่ 2)

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ความปลอดภัยเครือข่ายกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งองค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปต้องเผชิญ ด้วยวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของการโจมตีเครือข่าย มาตรการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมจึงไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ ระบบตรวจจับการบุกรุก (IDS) และระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) จึงเกิดขึ้นตามที่หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ต้องการ และกลายเป็นสองผู้ปกป้องหลักในด้านความปลอดภัยเครือข่าย แม้ระบบทั้งสองอาจดูคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างอย่างมากในด้านฟังก์ชันการทำงานและการประยุกต์ใช้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง IDS และ IPS และไขข้อข้องใจเกี่ยวกับสองผู้ปกป้องความปลอดภัยเครือข่ายนี้

IDS เทียบกับ IPS

IDS: ลูกเสือแห่งความปลอดภัยเครือข่าย

1. แนวคิดพื้นฐานของระบบตรวจจับการบุกรุก IDS (IDS)คืออุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายหรือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบปริมาณการรับส่งข้อมูลเครือข่ายและตรวจจับกิจกรรมหรือการละเมิดที่อาจเกิดขึ้น IDS จะวิเคราะห์แพ็กเก็ตเครือข่าย ไฟล์บันทึก และข้อมูลอื่นๆ เพื่อระบุปริมาณการรับส่งข้อมูลที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบให้ดำเนินการแก้ไขที่เกี่ยวข้อง เปรียบเสมือนหน่วยสอดแนมที่คอยเฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวในเครือข่าย เมื่อมีพฤติกรรมน่าสงสัยในเครือข่าย IDS จะตรวจจับและแจ้งเตือนเป็นอันดับแรก แต่จะไม่ดำเนินการใดๆ หน้าที่ของ IDS คือ "ค้นหาปัญหา" ไม่ใช่ "แก้ไขปัญหา"

ไอดีเอส

2. IDS ทำงานอย่างไร IDS ทำงานอย่างไรโดยอาศัยเทคนิคต่อไปนี้เป็นหลัก:

การตรวจจับลายเซ็น:IDS มีฐานข้อมูลลายเซ็นขนาดใหญ่ที่รวบรวมลายเซ็นของการโจมตีที่รู้จัก IDS จะส่งการแจ้งเตือนเมื่อปริมาณการรับส่งข้อมูลเครือข่ายตรงกับลายเซ็นในฐานข้อมูล คล้ายกับตำรวจที่ใช้ฐานข้อมูลลายนิ้วมือเพื่อระบุตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งมีประสิทธิภาพแต่ต้องอาศัยข้อมูลที่ทราบอยู่แล้ว

การตรวจจับความผิดปกติ:ระบบ IDS จะเรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมปกติของเครือข่าย และเมื่อตรวจพบทราฟฟิกที่เบี่ยงเบนไปจากรูปแบบปกติ ระบบจะถือว่าทราฟฟิกดังกล่าวเป็นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น หากคอมพิวเตอร์ของพนักงานส่งข้อมูลจำนวนมากอย่างกะทันหันในช่วงดึก ระบบ IDS อาจตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีประสบการณ์ซึ่งคุ้นเคยกับกิจกรรมประจำวันในละแวกบ้าน และจะแจ้งเตือนทันทีเมื่อตรวจพบความผิดปกติ

การวิเคราะห์โปรโตคอล:IDS จะทำการวิเคราะห์โปรโตคอลเครือข่ายอย่างละเอียด เพื่อตรวจหาว่ามีการละเมิดหรือการใช้งานโปรโตคอลที่ผิดปกติหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากรูปแบบโปรโตคอลของแพ็กเก็ตบางแพ็กเก็ตไม่เป็นไปตามมาตรฐาน IDS อาจพิจารณาว่าเป็นการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้

3. ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีของ IDS:

การตรวจสอบแบบเรียลไทม์:IDS สามารถตรวจสอบปริมาณการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายแบบเรียลไทม์เพื่อค้นหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัยได้ทันท่วงที เปรียบเสมือนยามเฝ้ายามที่ไม่เคยหลับใหล คอยดูแลความปลอดภัยของเครือข่ายอยู่เสมอ

ความยืดหยุ่น:IDS สามารถติดตั้งใช้งานตามจุดต่างๆ ของเครือข่าย เช่น ชายแดน เครือข่ายภายใน ฯลฯ มอบการป้องกันหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีจากภายนอกหรือภัยคุกคามภายใน IDS ก็สามารถตรวจจับได้

การบันทึกเหตุการณ์:IDS สามารถบันทึกกิจกรรมเครือข่ายอย่างละเอียดเพื่อการวิเคราะห์หลังการชันสูตรพลิกศพและการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ เปรียบเสมือนเสมียนที่ซื่อสัตย์ที่คอยบันทึกทุกรายละเอียดในเครือข่าย

ข้อเสียของ IDS:

อัตราการเกิดผลบวกปลอมสูง:เนื่องจาก IDS อาศัยลายเซ็นและการตรวจจับความผิดปกติ จึงเป็นไปได้ที่จะเข้าใจผิดว่าการรับส่งข้อมูลปกติเป็นกิจกรรมที่เป็นอันตราย ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาด เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไวเกินเหตุซึ่งอาจเข้าใจผิดว่าพนักงานส่งของเป็นขโมย

ไม่สามารถป้องกันเชิงรุกได้:IDS ทำได้เพียงตรวจจับและแจ้งเตือนเท่านั้น แต่ไม่สามารถบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตรายได้ ผู้ดูแลระบบจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยตนเองเมื่อพบปัญหา ซึ่งอาจนำไปสู่ระยะเวลาตอบสนองที่ยาวนาน

การใช้ทรัพยากร:IDS จำเป็นต้องวิเคราะห์ปริมาณการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งอาจใช้ทรัพยากรระบบจำนวนมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีปริมาณการรับส่งข้อมูลสูง

IPS: "ผู้ปกป้อง" ความปลอดภัยเครือข่าย

1. แนวคิดพื้นฐานของระบบป้องกันการบุกรุก IPS (IPS)คืออุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่พัฒนาบนพื้นฐานของ IDS ไม่เพียงแต่สามารถตรวจจับกิจกรรมที่เป็นอันตรายได้เท่านั้น แต่ยังป้องกันได้แบบเรียลไทม์และปกป้องเครือข่ายจากการโจมตี หาก IDS เปรียบเสมือนหน่วยสอดแนม IPS ก็เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญ ไม่เพียงแต่สามารถตรวจจับศัตรูได้เท่านั้น แต่ยังริเริ่มหยุดยั้งการโจมตีของศัตรูได้อีกด้วย เป้าหมายของ IPS คือการ "ค้นหาปัญหาและแก้ไข" เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเครือข่ายผ่านการแทรกแซงแบบเรียลไทม์

ไอพีเอส

2. IPS ทำงานอย่างไร
จากฟังก์ชันการตรวจจับของ IDS IPS จึงเพิ่มกลไกการป้องกันดังต่อไปนี้:

การบล็อคการจราจร:เมื่อ IPS ตรวจพบทราฟฟิกที่เป็นอันตราย IPS จะสามารถบล็อกทราฟฟิกนี้ได้ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่เครือข่าย ตัวอย่างเช่น หากพบว่ามีแพ็กเก็ตพยายามเจาะช่องโหว่ที่รู้จัก IPS ก็จะปล่อยแพ็กเก็ตนั้นทันที

การยุติเซสชัน:IPS สามารถยุติเซสชันระหว่างโฮสต์ที่เป็นอันตรายและตัดการเชื่อมต่อของผู้โจมตีได้ ตัวอย่างเช่น หาก IPS ตรวจพบว่ามีการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซกับที่อยู่ IP หนึ่ง ระบบจะตัดการสื่อสารกับ IP นั้นทันที

การกรองเนื้อหา:IPS สามารถกรองเนื้อหาการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายเพื่อบล็อกการรับส่งข้อมูลหรือโค้ดที่เป็นอันตราย ตัวอย่างเช่น หากพบว่าไฟล์แนบในอีเมลมีมัลแวร์ IPS จะบล็อกการรับส่งข้อมูลนั้น

IPS ทำงานเหมือนพนักงานเฝ้าประตู ไม่เพียงแต่ตรวจจับบุคคลน่าสงสัยเท่านั้น แต่ยังไล่พวกเขาออกไปด้วย ตอบสนองรวดเร็วและสามารถกำจัดภัยคุกคามได้ก่อนที่จะแพร่กระจาย

3. ข้อดีและข้อเสียของ IPS

ข้อดีของ IPS:
การป้องกันเชิงรุก:IPS สามารถป้องกันทราฟฟิกที่เป็นอันตรายได้แบบเรียลไทม์และปกป้องความปลอดภัยของเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนยามที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี สามารถป้องกันศัตรูได้ก่อนที่พวกมันจะเข้ามาใกล้

การตอบสนองอัตโนมัติ:IPS สามารถดำเนินนโยบายการป้องกันที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดภาระของผู้ดูแลระบบ ตัวอย่างเช่น เมื่อตรวจพบการโจมตี DDoS IPS จะสามารถจำกัดปริมาณการรับส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้โดยอัตโนมัติ

การปกป้องที่ล้ำลึก:IPS สามารถทำงานร่วมกับไฟร์วอลล์ เกตเวย์ความปลอดภัย และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อมอบการปกป้องที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ปกป้องขอบเขตเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังปกป้องทรัพย์สินสำคัญภายในอีกด้วย

ข้อเสียของ IPS:

ความเสี่ยงจากการบล็อคเท็จ:IPS อาจบล็อกการรับส่งข้อมูลปกติโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานปกติของเครือข่าย ตัวอย่างเช่น หากการรับส่งข้อมูลที่ถูกต้องถูกจัดประเภทไม่ถูกต้องว่าเป็นข้อมูลอันตราย อาจทำให้บริการหยุดให้บริการได้

ผลกระทบต่อประสิทธิภาพ:IPS จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลการรับส่งข้อมูลเครือข่ายแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีการรับส่งข้อมูลสูง อาจทำให้เกิดความล่าช้าเพิ่มขึ้น

การกำหนดค่าที่ซับซ้อน:การกำหนดค่าและการบำรุงรักษา IPS ค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยบุคลากรมืออาชีพ หากกำหนดค่าไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง หรือทำให้ปัญหาการบล็อกผิดพลาดรุนแรงขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง IDS และ IPS

แม้ว่า IDS และ IPS จะมีชื่อเรียกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างที่สำคัญทั้งในด้านฟังก์ชันและการใช้งาน ความแตกต่างหลักๆ ระหว่าง IDS และ IPS มีดังนี้

1. การวางตำแหน่งการทำงาน
IDS: ส่วนใหญ่ใช้เพื่อติดตามและตรวจจับภัยคุกคามความปลอดภัยในเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันแบบพาสซีฟ ทำหน้าที่เหมือนหน่วยสอดแนม ส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบศัตรู แต่ไม่ได้ริเริ่มโจมตี
IPS: เพิ่มฟังก์ชันป้องกันเชิงรุกให้กับ IDS ซึ่งสามารถบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตรายได้แบบเรียลไทม์ เปรียบเสมือนยามที่ไม่เพียงแต่ตรวจจับศัตรูได้เท่านั้น แต่ยังป้องกันพวกมันได้อีกด้วย
2. รูปแบบการตอบกลับ
IDS: ระบบจะแจ้งเตือนหลังจากตรวจพบภัยคุกคาม ซึ่งผู้ดูแลระบบต้องเข้ามาจัดการเอง เปรียบเสมือนยามเฝ้าสังเกตศัตรูและรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อรอรับคำสั่ง
IPS: กลยุทธ์การป้องกันจะดำเนินการโดยอัตโนมัติหลังจากตรวจพบภัยคุกคามโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากมนุษย์ เหมือนกับยามที่มองเห็นศัตรูแล้วผลักมันออกไป
3. สถานที่จัดวาง
IDS: มักจะติดตั้งในตำแหน่งบายพาสของเครือข่าย และไม่ส่งผลกระทบต่อการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายโดยตรง บทบาทของ IDS คือการสังเกตและบันทึกข้อมูล และจะไม่รบกวนการสื่อสารปกติ
IPS: มักติดตั้งที่ตำแหน่งออนไลน์ของเครือข่าย ทำหน้าที่จัดการปริมาณการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายโดยตรง จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และแทรกแซงปริมาณการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ จึงมีประสิทธิภาพสูง
4. ความเสี่ยงจากการแจ้งเตือนผิดพลาด/การบล็อคผิดพลาด
IDS: การแจ้งเตือนผิดพลาดไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของเครือข่าย แต่อาจทำให้ผู้ดูแลระบบประสบปัญหาได้ เช่นเดียวกับยามที่ไวต่อสัญญาณมากเกินไป คุณอาจส่งสัญญาณเตือนบ่อยครั้งและเพิ่มภาระงานของคุณ
IPS: การบล็อกที่ผิดพลาดอาจทำให้บริการหยุดชะงักตามปกติและส่งผลกระทบต่อความพร้อมใช้งานของเครือข่าย เปรียบเสมือนยามที่ก้าวร้าวเกินไปและอาจทำร้ายทหารฝ่ายเดียวกันได้
5. กรณีการใช้งาน
IDS: เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึกและการตรวจสอบกิจกรรมเครือข่าย เช่น การตรวจสอบความปลอดภัย การตอบสนองต่อเหตุการณ์ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น องค์กรอาจใช้ IDS เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ของพนักงานและตรวจจับการละเมิดข้อมูล
IPS: เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการปกป้องเครือข่ายจากการโจมตีแบบเรียลไทม์ เช่น การป้องกันพรมแดน การป้องกันบริการที่สำคัญ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น องค์กรอาจใช้ IPS เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีภายนอกเจาะเข้ามาในเครือข่ายของตนได้

IDS เทียบกับ IPS

การประยุกต์ใช้ IDS และ IPS ในทางปฏิบัติ

เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง IDS และ IPS ได้ดียิ่งขึ้น เราสามารถแสดงสถานการณ์การใช้งานจริงดังต่อไปนี้:
1. การป้องกันความปลอดภัยเครือข่ายองค์กร ในเครือข่ายองค์กร IDS สามารถนำไปใช้งานในเครือข่ายภายในเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ของพนักงาน และตรวจจับว่ามีการเข้าถึงที่ผิดกฎหมายหรือการรั่วไหลของข้อมูลหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากพบว่าคอมพิวเตอร์ของพนักงานกำลังเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย IDS จะส่งการแจ้งเตือนและแจ้งให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบ
ในทางกลับกัน IPS สามารถติดตั้งที่ขอบเขตเครือข่ายเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอกไม่ให้บุกรุกเครือข่ายองค์กรได้ ตัวอย่างเช่น หากตรวจพบว่าที่อยู่ IP ถูกโจมตีแบบ SQL injection IPS จะบล็อกการรับส่งข้อมูล IP โดยตรงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของฐานข้อมูลองค์กร
2. ความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูล ในศูนย์ข้อมูล IDS สามารถใช้เพื่อตรวจสอบการรับส่งข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ เพื่อตรวจหาการสื่อสารที่ผิดปกติหรือมัลแวร์ ตัวอย่างเช่น หากเซิร์ฟเวอร์กำลังส่งข้อมูลที่น่าสงสัยจำนวนมากไปยังโลกภายนอก IDS จะแจ้งเตือนพฤติกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบให้ตรวจสอบ
ในทางกลับกัน IPS สามารถติดตั้งที่ทางเข้าศูนย์ข้อมูลเพื่อป้องกันการโจมตี DDoS การแทรก SQL และทราฟฟิกที่เป็นอันตรายอื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น หากเราตรวจพบว่าการโจมตี DDoS กำลังพยายามทำลายศูนย์ข้อมูล IPS จะจำกัดทราฟฟิกที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มั่นใจว่าบริการจะทำงานได้ตามปกติ
3. ความปลอดภัยบนคลาวด์ ในสภาพแวดล้อมคลาวด์ IDS สามารถใช้ตรวจสอบการใช้งานบริการคลาวด์และตรวจจับว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการใช้ทรัพยากรในทางที่ผิดหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้พยายามเข้าถึงทรัพยากรคลาวด์ที่ไม่ได้รับอนุญาต IDS จะส่งการแจ้งเตือนและแจ้งให้ผู้ดูแลระบบดำเนินการ
ในทางกลับกัน IPS สามารถติดตั้งที่ขอบเครือข่ายคลาวด์เพื่อปกป้องบริการคลาวด์จากการโจมตีจากภายนอกได้ ตัวอย่างเช่น หากตรวจพบที่อยู่ IP เพื่อเริ่มการโจมตีแบบ Brute Force บนบริการคลาวด์ IPS จะตัดการเชื่อมต่อจาก IP โดยตรงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของบริการคลาวด์

ไอดีเอส ไอพีเอส

การประยุกต์ใช้ IDS และ IPS ร่วมกัน

ในทางปฏิบัติ IDS และ IPS ไม่ได้ทำงานแยกกัน แต่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อให้การป้องกันความปลอดภัยเครือข่ายที่ครอบคลุมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น

IDS เป็นส่วนเสริมของ IPS:IDS สามารถวิเคราะห์ปริมาณการรับส่งข้อมูลและบันทึกเหตุการณ์ได้อย่างละเอียดมากขึ้น เพื่อช่วยให้ IPS สามารถระบุและบล็อกภัยคุกคามได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น IDS สามารถตรวจจับรูปแบบการโจมตีที่ซ่อนอยู่ผ่านการตรวจสอบระยะยาว แล้วส่งข้อมูลนี้กลับไปยัง IPS เพื่อปรับกลยุทธ์การป้องกันให้เหมาะสมที่สุด

IPS ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ IDS:หลังจากที่ IDS ตรวจพบภัยคุกคาม มันสามารถสั่งให้ IPS ดำเนินกลยุทธ์การป้องกันที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการตอบสนองอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น หาก IDS ตรวจพบว่ามีการสแกนที่อยู่ IP อย่างเป็นอันตราย มันสามารถแจ้งเตือน IPS ให้บล็อกการรับส่งข้อมูลจาก IP นั้นโดยตรง

การรวม IDS และ IPS เข้าด้วยกันจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ บนเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ IDS มีหน้าที่ค้นหาปัญหา IPS มีหน้าที่แก้ไขปัญหา ทั้งสองส่วนนี้เสริมซึ่งกันและกัน จึงไม่สามารถละเลยได้

 

ค้นหาสิ่งที่ถูกต้องโบรกเกอร์แพ็กเก็ตเครือข่ายเพื่อทำงานร่วมกับ IDS (ระบบตรวจจับการบุกรุก) ของคุณ

ค้นหาสิ่งที่ถูกต้องสวิตช์บายพาสอินไลน์เพื่อทำงานร่วมกับ IPS (ระบบป้องกันการบุกรุก) ของคุณ


เวลาโพสต์: 23 เม.ย. 2568